Subscribe

RSS Feed (xml)



Powered By

Skin Design:
Free Blogger Skins

Powered by Blogger

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

แก้ว 1 ใบ จะหนักเท่าใดหนอ

ขณะที่ครูกำลังสอนนักเรียนของเขาในหัวข้อการจัดการกับความกดดัน และความเครียด
ครูได้หยิบแก้วน้ำใบหนึ่งขึ้นมา และถามนักเรียนว่า

"พวกเธอคิดว่าแก้วน้ำใบนี้หนักเท่าไหร่"

คำตอบของนักเรียนมีตั้งแต่ 20 กรัม ถึง 500 กรัม

"มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่แท้จริงของแก้วว่าหนักเท่าไหร่แต่ขึ้นอยู่กับว่าเธอถือมันไว้นานเท่าใด"
ถ้าครูถือมันไว้เพียง 1 นาที ก็ไม่มีปัญหาอะไร
ถ้าครูถือมันไว้ 1 ชั่วโมง แขนของครูก็จะปวด
ถ้าครูถือมันไว้ 1 วัน พวกเธอคงต้องเรียกรถพยาบาล....55555

"แม้ว่าที่จริงจะเป็นน้ำหนักเดียวกัน แต่ยิ่งฉันถือมันไว้นานเท่าไหร่
มันก็ยิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้น
"

"ถ้าเราแบกภาระ (ความทุกข์ ความหนักใจ ฯลฯ) ของเราไว้ตลอด
ไม่ช้าก็เร็วภาระนั้นจะยิ่งหนักขึ้น จนเราไม่สามารถจะแบกมันไว้ได้อีก
"

ดังนั้น สิ่งที่เธอต้องทำคือ วางแก้วนั้นลงซะ พักสักระยะก่อนจะถือมันขึ้นใหม่อีกครั้ง
เราจะต้องวางสิ่งที่เราแบกไว้ลงเป็นระยะ เราจึงจะสามารถฟื้นพลังขึ้นมาใหม่
และสามารถแบกมันได้อีกครั้ง

ดังนั้น ก่อนเธอจะกลับบ้านในคืนนี้ จงวางภาระของเธอลง
อย่านำมันกลับไปบ้านด้วย เธอสามารถยกมันขึ้นมาใหม่ได้ในวันพรุ่งนี้
ไม่ว่าจะเป็นภาระใด ๆ ก็ตามที่เธอแบกอยู่ในตอนนี้
วางมันลงสักพักถ้าเธอทำได้ ค่อยยกมันขึ้นมาใหม่เมื่อเธอได้พักแล้ว
ขอให้ผ่อนคลาย และพักผ่อน

*** ชีวิตคนเรานั้นสั้นนักนะ จงมีความสุขกับทุกสิ่ง ***

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ข้อมูลจาก Forward mail ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด
เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้ม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น

ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา
เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด
เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง

ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้
เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น

ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร
เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใดๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน

ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด
เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร

ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด
เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น

ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง
เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน

ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่
เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกคนปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรคครั้งนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ

ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง

บทความโดย :คัดลอกจากหนังสือ เสน่ห์ของผ้าขี้ริ้ว ของปิยโสภณ

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ข้อความดี ๆ

ฉันเดินชนคนแปลกหน้า ฉันเอ่ยขอโทษไม่ตั้งใจ

เขากลับตอบ "ขออภัย ผมเองไม่ทันเห็นคุณ" เราต่างสุภาพ ถ้อยทีถ้อยอาศัยแสดงน้ำใจ แม้ไม่รู้จักกัน

แต่ที่บ้านเย็นวันนั้น ฉันทำอาหารอยู่ในครัว ลูกสาวตัวน้อยแอบมายืนข้างหลัง ไม่ทันระวังฉันหันกลับมาชนเธอล้มลง "อย่ามายืนเกะกะ" ฉันดุใส่ ลูกสาวเดินจากไป หัวใจเธอปวดร้าว

คืนนั้นฉันได้ยินเสียงกระซิบจากเบื้องลึกของหัวใจ "กับคนแปลกหน้าเจ้าสุภาพได้แต่กับลูกรักชิดใกล้ ทำไมทำได้ลงคอ ดูที่พื้นครัวสิดอกไม้หลากสีที่ลูกอุตส่าห์เก็บมาหวังให้เจ้าแปลกใจตกเกลื่อนอยู่ทั่วไป น้ำตาเธอใหล เหตุใดไม่แลเห็น"

ฉันเพิ่งรู้ตัว เลยค่อยๆ ย่องเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างเตียงลูก "ตื่นเถิดคนดีดอกไม้นี่ลูกเก็บมาให้แม่หรือ"

ลูกตอบ " ใช่ค่ะ หนูเห็นดอกไม้บาน สวยงามเหมือนคุณแม่ รู้ว่าคุณแม่ต้องชอบโดยเฉพาะดอกสีน้ำเงิน"

ฉันตื้นตันใจนัก " ลูกรัก แม่ขอโทษจริงๆ ที่เอ็ดหนู"

"แม่จ๋า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูรักแม่ "

"แม่ก็รักลูก แม่ชอบดอกไม้ของหนูมาก โดยเฉพาะสีน้ำเงินจ้ะ"

หากเราตายจากไปในวันพรุ่งนี้ อีกไม่กี่วันนายจ้างก็หาคนใหม่มาทำแทนได้แต่ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอาจโศกเศร้าไปชั่วชีวิต ลองคิดดูว่าคุ้มไหมหากเราจะทุ่มเทตัวเองให้กับงานมากกว่าครอบครัว


รู้ไหมคำว่าFAMILY ย่อมาจาก

FATHER

AND

MOTHER

I

LOVE

YOU.

ให้เวลากับพ่อ-แม่ของคุณมากขึ้นยามท่านแก่ตัวลง

รู้จักแบ่งเวลาให้กับงานและคนที่บ้านให้สมดุลกัน

หากมีใครมาบอกให้จัดความสำคัญเสียใหม่

จงย้อนถามกลับไปว่าครอบครัวสำคัญน้อยกว่าหรือไร?

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เมฆฝน ๔ ชนิด

เมฆฝน ๔ ชนิด




เมฆฝนซึ่งตั้งเค้าอยู่เบื้องบนอากาศนั้น มีลักษณะย่อๆ ๔ ชนิดด้วยกัน คือ

๑.ส่งเสียงกระหึ่มลั่น แต่ไม่ตก

๒.ตก แต่ไม่ส่งเสียงกระหึ่มก่อน

๓.บางครั้งเพียงลอยผ่านไป แต่ไม่ส่งเสียงด้วย ไม่ตกด้วย

๔.บางครั้งคำรามกึกก้องด้วย ตกลงมาด้วย

เทียบได้กับบุคคล ๔ ประเภท คือ
๑.บางคนพูดอย่างเดียว แต่ไม่ทำ
๒.บางคนทำเท่านั้น แต่ไม่พูด
๓.บางคน ไม่พูดด้วย ไม่ทำด้วย
๔.บางคน ทั้งพูด ทั้งทำ
จึงควรพิจารณาว่า เราเป็นเมฆฝนชนิดใด ?
กยิรา เจ กยิราเถนํ ถ้าทำการใด ก็พึงทำการนั้นจริงๆ